|  
 
 
 สำรวจหาที่ดินเพื่อสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมวันเดียว 11 แห่ง ตั้งแต่เช้า จรดเย็นจนถึงเกือบสองยาม  บากบั่น บุกเบิก ฝ่าฟัน และ อดทน เพื่อต้องเร่งหาที่ดินเพื่อสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม ของชมรมวิปัสสนาญาณ หลวงพ่อโตท่านก็ใกล้จะเสด็จมาแล้วค่ะ คือผู้บริจาคปัจจัยปั้น รูปเหมือนของท่านเขาดำเนินการจะเสร็จแล้ว ดังนั้นเราก็ต้องเร่งหาที่ดินที่ อ.เจน  เห็นว่า เหมาะสมเพื่อให้ทันเวลากันค่ะ จั่วหัวขึ้นมาก็อยากเล่าเรื่องอะค่ะ คณะเดินทางตื่นกันมาตั้งแต่เช้าไก่ยังไม่ขันเราไปกัน 6 คน ค่ะ เพราะว่าอัดกันไปไม่หมดค่ะ  การเดินทางก็ไปตามเส้นทางที่ได้วางเป้าหมายไว้ค่ะ ขอเริ่มเรื่องกันดีกว่าค่ะ ที่ดินที่ 1  ที่ดินติดภูเขา ดินดีมากดินเป็นสีดำ ร่วนซุย สองข้างทางเป็นไร่มันสำปะหลัง แสงแดด ก็แผดเผาร้อน เปรี้ยง หน้าร้อนวูบ ๆ เลยค่ะ แต่เราก็บ่อยั่นนะค่ะที่ดินแห่งนี้ เป็นพื้นที่สามเหลี่ยมไม่สวยเท่าไหร่นักค่ะแต่เราก็ลุยสำรวจแม้จะรู้ว่าไม่ผ่านค่ะ  และเดินทางต่อไปยังที่ดินที่ 2 ที่ดินที่2ที่ดินผืนนี้เป็นไร่มันสำปะหลังค่ะ อ.เจน ดูในญาณวิถีแล้วเป็นภูเขาที่เป็นดิน และมีถ้ำใกล้ ๆ เป็นแหล่งพักพิงของหมู่ฝูงค้างคาว สำหรับภูเขาดินนี้มีถ้ำศักดิ์สิทธิ์ฮวงจุ่ยดี  แต่ต้องปรับพื้นดินต้องจัดการอีกมาก และที่ดินแปลงน้อยน้อยเกินไปค่ะ  สถานที่แห่งนี้***บันทึกไว้ เป็นตัวเลือกค่ะ*** เดินทางต่อไปยังที่ดินที่3 ที่ดินที่3ที่ดินผืนนี้อยู่ล้อมรอบภูเขา ก็เป็นไร่มันสำปะหลังอีกแล้วค่ะ ที่ดินอยู่ติดถนนใหญ่   แต่ก็ไม่น่าสนใจค่ะ ขณะนี้ก็ปาเข้าไปบ่ายโมงกว่าๆ แล้ว หิวมาก ลืมกระติกน้ำมา  เพราะรีบออกจากบ้านแถวนี้ก็ไม่มีอะไรรับประทานนอกจาก ก้านมันสำปะหลังใบ ก็ไม่มีเขาเพิ่มถอนและปลูกใหม่ พูดขำ ๆ นะค่ะ อากาศร้อนจัด หิวน้ำ ค่ะไม่มีเซ่เว่น  เป็นป่าทั้งนั้น เดินทางต่อไป ท้องก็ร้องกันไป ที่ดินที่4ที่ดินนี้ใกล้กับภูเขาลูกเล็กอยู่ด้านหน้าและเมื่อเดินเข้าไปอีกก็พบต้นไม้ใหญ่ เก่าแก่ร่มรื่น ดิฉันชอบค่ะเพราะร่มรื่นที่ดินติดภูเขาค่ะมีต้นไม่เก่าแก่มากมาย กลางคืนคงหลอนน่าดู ผืนดินมีทั้งที่โล่งแจ้งและลึกเข้าไปเป็นป่า เมื่อเดินเข้าไปสักพัก  ดิฉันกับ อ.เจน ก็เดินแยกกลุ่มออกมาเพื่อ อ.เจน ต้องใช้ญาณวิถีตรวจสื่อสัมผัส ที่ดินว่าเป็นอย่างไรบ้าง เหมาะสมหรือไม่ อ.เจน เห็นในตาทิพย์ว่า มีฤาษีบำเพ็ญ พียรอยู่บนเขาและมีต้นสะเดาเก่าแก่อยู่หนึ่งต้น ยืนตระหง่านอยู่กลางที่ดิน  อ.เจนบอกว่าที่ต้นสะเดานี้มีรุกขเทวดาที่เป็นฤาษี บำเพ็ญเพียรอยู่  ดิฉันก็เลยชวนคุณรุ้งมาถ่ายรูปด้วยกันที่ต้นสะเดาค่ะ เผื่อจะมีปรากฏการณ์ อะไรๆออกมาให้เห็นบ้างค่ะ แต่ก็ไม่มี อะค่ะ  ที่ดินแห่งนี้เดิมปลูกมันสำปะหลังแต่ปัจจุบันรกร้างค่ะ ที่ดินอยู่ติดถนนใหญ่   สถานที่แห่งนี้มีความเป็นทิพย์  เป็นดินแดนวิมานของเทวดา  มีต้นไมร่มรื่นเป็นพื้นที่โล่งค่ะ อ.เจน ได้เปิดม่านมิติ จึงเห็นว่า สถานที่แห่งนี้ เป็นแดนระหว่างภพภูมิฤาษีและภพภูมิเทวดาเป็นดินแดนที่สงบมากเหมาะ สำหรับการปฏิบัติธรรมไม่เหมาะที่จะอยู่อาศัยเพราะท่านชอบความสงบค่ะ   ขณะที่เดินกันอยู่นั้นอ.เจน ก็บอกว่า ที่นี่มีศาลเก่า มีเจ้าพ่อขุนเขา  เป็นเจ้าป่าเจ้าเขาสถานที่แห่งนี้เคยเจริญรุ่งเรืองเพราะผู้คนมาขอโชคลาภกัน แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครมาอีกเลยค่ะ เมื่อ อ.เจน เห็นอย่างนั้นจึงชวนให้คณะ เดินหาศาลเจ้าพ่อเพราะอยากรู้ว่าที่เห็นในญาณเป็นจริงหรือไม่เราก็ปีน เขาขึ้นไปดู ปรากฏว่า มีศาลเจ้าพ่อจริงค่ะ แต่รกร้างไปแล้ว คนส่วนมาก จะไปหาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อตนเองเช่นการขอโชคลาภ ขอลาภยศสรรเสริญ  แต่ไม่มีใครอยากไปทำบุญเพื่อสะสมเสบียงบุญกันหรอกค่ะเมื่อลงจาก ขาก็ได้เห็นวัดแห่งหนึ่ง วัดใหญ่โตมาก อ.เจนเห็นวัดไม่ได้หรอกค่ะก็คิด แต่จะทำบุญ จึงชักชวนไปหาพระสงฆ์เพื่อทำบุญค่ะถวายปัจจัยเงินตามกำลัง  น่ะค่ะ อ.เจน มักพูดเสมอว่า การทำบุญเราต้องมีความเชื่อมั่นและศรัทธา เราเชื่อมั่นและศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทำบุญเพื่อให้ศาสนาได้คงสืบ ต่อไปแม้ว่าเราจะไปพบเห็นพระสงฆ์ที่เราเห็นว่าจริยะวัตรไม่ครบแต่เราทำ เพื่อพระพุทธศาสนาผู้ทำผิดกฎแห่งกรรมได้ลงโทษแต่เราได้บุญด้วยจิต ที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาแล้วค่ะ  ดังนั้น เราก็ต้องมีความเชื่อและศรัทธา  แล้วเราก็จะเป็นผู้ที่มีจิตเป็นบุญกุศลและได้บุญเต็มจนล้น ค่ะ  ที่ดินที่ 4 นี้  ***บันทึกไว้ เป็นตัวเลือกค่ะ*** ที่ดินที่5  และ 6  พื้นที่ดินเป็นไร่อ้อย เพิ่งจะตัดอ้อยไปจึงเตียนโล่ง แต่ไม่น่าสนใจ  เดินทางต่อไปอีก แม้จะไม่น่าสนใจแต่ เราก็ลงไปสำรวจที่ดินทุกแปลงเพื่อให้แน่ใจค่ะ เพราะมากันทั้งทีจะได้ไม่เสียเที่ยวเวลามีน้อยค่ะ ต้องให้คุ้มค่ากับการเดินทาง  สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่ค่าน้ำมันรถ ค่าอาหารการกินของคณะเดินทาง อ .เจน และ คุณรุ้ง เป็นผู้ออกทั้งสิ้นแค่ค่าน้ำมันรถก็เป็นพันบาทแล้วค่ะ  เราไม่เคยนำเงินของผู้บริจาคมาเป็นค่าใช้จ่ายแม้สตางค์แดงเดียวค่ะดิฉัน ก็ไม่เคยพลาดที่จะอนุโมทนาบุญกับ อ.เจน และคุณรุ้ง ทุกครั้งที่เดินทางค่ะ เพราะ บางครั้ง อ.เจนบอกพี่หนูเพิ่งได้เงินจากรายการได้มาและก็นำมาเป็น ค่าใช้จ่ายเดินทางยังไม่พอเลยค่ะพี่รุ้ง ก็ช่วยหารไม่งั้นไม่พอค่ะ  ที่ดินที่7  ที่ดินผืนนี้ก็เป็นไร่มันสำปะหลังแต่เขาขุดออกไปหมดแล้วจะเริ่มปลูกใหม่ค่ะ  ที่นี่มีน้ำแร่ มีบ่อขนาดใหญ่เพื่อทำการเกษตรดินดี ร่วนซุย ฮวงจุ่ยดี มีตาน้ำ และที่สำคัญน้ำไม่ท่วมด้วยค่ะพื้นที่เป็นที่ราบสูงค่ะ และเป็นสถานที่ที่ใกล้กับ สำนักปฏิบัติธรรม พื้นที่ 100 ไร่ มีโครงการจะสร้างค่ะ ***บันทึกไว้เป็นตัวเลือกค่ะ*** ที่ดินที่8  และ 10  พื้นที่ดิน ทั้ง 3 แห่งนี้ ไม่น่าสนใจค่ะ ก็ขึ้นรถลงรถอยู่นั่นแหละค่ะ  เข้ารถก็เร่งแอร์ออกจากรถก็แดดแรงค่ะ กลับมาตัวดำเลยค่ะ หาบ่าย 5 โมงเย็น  แล้วกินข้าวกันก่อนดีกว่ายังไม่ได้กินข้าวเลยหิวจนตาลายค่ะ  ก็ไปกินร้านอาหารตามสั่งดิฉันมักจะชอบสั่งอาหารของคนสิ้นคิด กระเพรา+ไข่ดาว  แต่ครั้งนี้ขอบอกไม่น่าสิ้นคิดขนาดนั้นเลย เพราะ ข้าวแฉะ เหมือนกินอาหารบูด  หรืออาหารที่คนเขา..อ๊ว......  กินไปได้ไม่เกิน 5 คำ ขณะข้าวร้อน ๆ  เมื่อมันหมดสิ้นความร้อนก็ต้องปล่อยวางค่ะ กินไม่ได้จริงๆ ที่ดินที่11  กว่าจะถึงที่ดินแห่งสุดท้ายของวันนี้ก็ค่ำพอดิบพอดี ได้เวลาของโลกวิญญาณ  บรรยากาศโพล้เผล้ ประมาณ 6 โมงเย็น มีแสงแดดอ่อน ๆ ไม่ถึงกับมืด  บรรยากาศหลอน ๆ เพราะว่าสองข้างทางเป็นป่าและไร่มันสำปะหลัง มีรถวิ่งอยู่ในถนน  เพียง 2 คัน คือรถนายหน้านำทาง และระของอ.เจน ขับตามหลัง ค่ะ  หันไปทางไหนก็มีแต่ป่า หันไปไหนก็เห็นแต่พวกเรา ป่าที่เงียบสงบ  คนนำทางเราไม่รู้จักหรอกค่ะ นัดเจอกันระหว่างทางเป็นชาวบ้านท้องถิ่น  พี่คนนี้ขับรถนำทางคณะเราไปถึงที่ดินก็เย็นย่ำค่ะสุริยาตกดินพอดีค่ะเมื่อเรา เดินเข้าไปในที่ดินที่รกร้างและโพล้เพล้ตะวันลับฟ้าแต่พอมีแสงให้เห็นบ้าง เราก็ใช้ไฟฉายช่วยนำทาง อ.เจน ก็หาไม้มาตีหญ้า เพราะเกรงว่า  งูจะออกมาเดินกับพวกเราด้วย ถ้าโดนงูกันคงไปโรงพยาบาลไม่ทันแน่ เพราะที่นี่ห่างไกลจำตัวเมืองมาก ลุงคนนำทางเดินข้างซ้าย ดิฉัน และ อ.เจน เดินไปข้างหน้า และคณะคุณรุ้ง เ ดินมาตามหลังแต่แล้วอยู่ ๆ    อ.เจนก็ตะโกนเรียกเสียงดัง  พร้อมกับกวักมือเรียก ลุง ลุง ลุง ค่ะ อ.เจน นึกว่าเจ้าของที่  เพราะคนนำทางเขามาเพื่อนำทางเขาไม่รู้เรื่องที่ดิน เท่านั้นแหละทุกคน หยุดเดินกันหมด รวมทั้งลุงที่นำทาง แกประมาณกลัวมากแต่ดิฉันและ คณะมองไม่เห็นลุงคนไหนที่นอกเหนือจากพวกเราเลย  ดิฉันจึงมั่นใจอย่างแน่นอนว่า  อ.เจนไม่ได้เจอลุงที่เป็นคนอย่างแน่นอน คณะที่ติดตาม อ.เจน ว่า  ลุงที่ไหนกันอาจารย์ก็มีแต่เราคนนำทางเขาเดินคู่มากับ อ.เจน และดิฉัน  แกตกใจมากหน้าเสียและหยุดมองไปทางที่ อ.เจนเรียก แล้วก็เกิดอาการหวาดระแวง  แต่ในภายหลัง อ.เจน บอกว่า ลุงคนนี้ เป็นเจ้าที่มาปรากฏตัวให้เห็นอ.เจน  นึกว่า ชาวบ้าน แกยืนถือไม้เท้า ยืนอยู่ พอแกหายไปจึงรู้ว่าไม่ใช่คนค่ะ แต่ทำเอาอีตาลุงนำทางเงียบกริ๊บเลยค่ะ  แต่เมื่อความมืดคืบคลานเข้ามา จนมองทางแทบไม่เห็นแล้วจึงลงมติว่ากลับกันก่อนดีกว่าแล้วพรุ้งนี้ค่อยมา ใหม่ค่ะโดยไม่ต้องใช้ลุงนำทางเพราะเรามากันได้ถูกทางค่ะ ระหว่างที่เดินทางกลับเราก็ประชุมกันว่าวันนี้เรายังหาข้อสรุปอะไรไม่ได้  จำเป็นต้องย้อนกลับไปเส้นทางเดิม เพราะปลอดจากคนนำทางไปกันเอง ไม่บอกใคร และทุกคนคิดว่า น่าจะย้อนกลับไปที่เดิมที่เราคิดว่าใช่ค่ะ โดยคำว่า ***บันทึกไว้ เป็นตัวเลือกค่ะ*** เมื่อทุกคนได้ข้อสรุปกันแล้วทางคณะทีมงานก็เชียร์อาจารย์กันว่า  ถ้าในยามค่ำคืนเยี่ยงนี้ เห็นสมควรที่จะกลับไปยังสถานที่ที่คิดว่าใช่  และน่าสนใจ  ก็คือ ที่ดินที่ *** ดอกจันท์*** ว่าน่าสนใจ เพื่อจะได้ สัมผัสกับภพภูมิที่เป็นมิติลี้ลับที่เรามองไม่เห็น....ก็ อาจ เป็น ได้..... เมื่อตกลงกันแล้วก็ไปกัน ตลอดเส้นทางเป็นป่าเปลี่ยวตอนนี้มีแต่รถของ  อ.เจนคันเดียวแล้วในถนนค่ะ เมื่อไปถึงสถานที่ 2 และ 7 ก็ประมาณ 3 ทุ่ม  แต่เมื่อไปถึงก็ปรากฏว่า มันช่างมืดตึ้ดตือ และบรรยากาศมาคุ อะไรขนาดนั้น  พวกเราทั้งหมดเดินย่องฝ่าความเงียบไปพร้อมกับไฟฉาย Iphone อ.เจน  เป็นคนสื่อค่ะ พวกเราก็รอลุ้นกันดิฉันมีหน้าที่เก็บข้อมูล สรุป สถานที่ 2  แห่งนี้ไม่ผ่านค่ะ กลับจ้า  อ้าวคราวนี้ทำไงดีล่ะคณะเราตั้งใจว่าจะเดินทางแบบไปเช้า-เย็นกลับ  แต่นี่ปาเข้าไป 3 ทุ่มกว่าแล้วหรือนี่ ตายแล้วไม่ได้ดูเวลากันเลย ทำไงดี  ที่นี่ไกลมากหากว่ากลับก็คงจะลำบากไม่ใช่น้อยแสงไฟบนถนนไม่มีค่ะ  เพราะถนนนั้นสองข้างทางเป็นป่ารกค่ะ รถที่วิ่งสวนไปมานั้นไม่ต้องพูดถึง ไม่มีแม้แต่คันเดียว  จำเป็นต้องพักค้างคืนเพราะอันตรายมากค่ะ ชุดเสื้อผ้าพวกเราก็ไม่ได้เตรียมชุดเสื้อผ้ามากันเลย  ดิฉันรีบแนะนำในทันทีเลยค่ะว่า  ไม่เป็นไรพวกเราทุกคนเราทำเหมือนคนหลงป่าซิค่ะ ชุดเสื้อผ้าซ้ำไม่เป็นไร  แต่กางเกงในกลับด้านเอาซิค่ะและใช้แป้งฝุ่นชโลมให้หอมก็ได้แล้วค่ะ อ.เจน  รีบบอกทันทีว่าไม่ได้พี่ ๆ เดี๋ยวหนูพาไปซื้อกางเกงในกระดาษและของใช้จำเป็นที่  ร้าน เซ่เว่นอีเลฟเว่น แถวชานเมืองน่าจะมี แล้วก็หาที่พักแรมเราก็มีชาย 2 หญิง 4   ก็วางแผนกันว่า ชาย 2นอนด้วยกัน หญิง 4 นอนด้วยกัน ขณะนั้น เวลาประมาณ 5  ทุ่ม แล้ว แต่ยังไม่มีที่พักนะค่ะ แล้วเราก็แวะปั๊มน้ำมัน เข้าร้านสะดวกซื้อเซ่เว่นฯ  อ.เจน ก็ซื้อ สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน และกางเกงในกระดาษ โดยคิดว่ายาสีฟัน 2  หลอด แบ่งกลุ่มชายหญิง สำหรับ คุณเต้ยยอมลงทุนซื้อเสื้อคอกลมสีขาวที่ร้านเซเว่นฯ  เพราะกลิ่นเสื้อตัวเองที่รับไม่ได้ค่ะ ส่วนตัวดิฉันไม่ชอบกางในกระดาษก็ ซื้อกางเกงในผ้ามา  1 ตัว แต่ก็น่าเห็นใจค่ะ เสื้อที่เปียกเหงื่อและขี้ฝุ่นกันมาทั้งวัน  มันคงเหม็นเปรี้ยวสิ้นดี แต่เรามีกลิ่นที่เหมือน ๆ กัน ก็เลยเป็นพวกเดียวกันค่ะ 
 ความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยค่ะเพราะเมื่อหาที่พักได้ กลับกลายเป็นว่า  ห้องพัก 3 ห้องชาย 1 ห้อง หญิง 2 ห้อง ต้องแยกกันนอนดิฉันนอนกับคุณสุดารัตน์  จึงจำเป็นต้องเอาถาดพลาสติกมาแบ่งยาสีฟันไปอีกห้องหนึ่งและสบู่เหลวที่ใช้อาบน้ำ  ยกให้ อ.เจนเป็นคนใช้ก็แล้วกันเราใช้สบู่ของรีสอร์ทได้ค่ะ อ.เจน ขอบคุณค่ะสบู่เหลว อาบนี้หนูเป็นคนใช้ก็แล้วกัน ดิฉันก็บอกค่ะ ได้ค่ะ ไม่เป็นไร กลับมาพักผ่อนที่ห้องพักเราก็รีบอาบน้ำค่ะแต่สำหรับรีสอร์ทต่างจังหวัดก็ค่อนข้างจะ ไม่สะอาดมากนัก ที่นอน ผ้าห่ม ก็ไม่ค่อยสะอาดแต่ก็นอน ๆ ไปเถอะเดี๋ยวก็เช้าแล้ว   แค่คืนเดียวเองจึงนัดกับคุณสุดารัตน์ว่า นอนผ้าขนหนูรีสอร์ทดีมั้ย ก็ตกลงกันตามนั้น  แต่ประมาณสองยามเห็นจะได้ดิฉันนอนหลับไปแล้ว คุณรุ้ง ก็โทรมาหาที่ห้อง  นึกว่ายังไม่นอน โดยบอกว่าพี่จี๊ดมีเรื่องเล่า ฮา ฮา เล่าก่อนนอน ดิฉันจึงถามไปว่า  อะไรค่ะ คุณรุ้ง บอกว่าพี่ไม่ได้ใช้สบู่เหลวที่เจนซื้อก็ดีแล้ว แล้วก็ขำใหญ่ ขำไปก็เล่าไป  โดยบอกว่าสบู่เหลวนั้นมันเป็นแชมพูสระผม รุ่นขจัดรังแค และเจน ก็นอนหลับไปแล้วด้วย  เมื่อกี้หนูอาบน้ำสงสัยสบู่อะไรมันเหนียวหนืด โถเอ๋ย งวง..ซะจนซื้อของใช้ผิด  แต่ปรากฏว่าที่ จะนอนด้วยผ้าขนหนูก็หลับไม่ลงแต่งตัวชุดเดิมมานั่งทำงานกันต่อ ด้วยการมาช่วยกันนั่งคัดที่ดินที่เราคิดว่าไม่ ออกไปค่ะ สรุปดึกมากกว่าจะนอน  และก็หลับเป็นตาย แต่ต้องปลุกนาฬิกาให้ตื่นแต่เช้า ตี 5 ครึ่ง ค่ะ เดินทางกลับ ไปที่ดินที่เราคิดว่าใช่เป็นอันดับแรก ส่วนมากเราจะต้องย้อนกลับไปยังที่ดินที่คิดว่า ใช่อีกครั้ง โดยไม่มีนายหน้าหรือเจ้าของที่ดินเดินติดตามค่ะ ตื่นเช้ามา อ.เจน บอกว่า พี่หนูคันตัวจังเลยค่ะ พวกเราก็ขำกันอีกรอบและเฉลยว่าทำไม  อ.เจน คันทั้งตัว ค่ะ  ส่วนตัวดิฉันเองก็ดันไปซื้อกางในของเด็กน้อยมาใส่ค่ะเพิ่งมา อ่านที่ข้างซองแต่ใส่ได้แบบคับติ้วค่ะ สุดท้ายก็ต้องกางในกระดาษเหมือนคนอื่นค่ะ เช้าวันรุ่งขึ้นเดินทางไปสถานที่ดินที่11 เพราะค่อนข้างจะแน่ใจที่แห่งนี้  แต่ยังไม่ได้ไปสื่อดูเช้านี้จึงไปกันอีกครั้งเพราะเมื่อคืนดึกมาก เช้านั่งสมาธิกัน ที่บ่อน้ำแต่ปรากฏว่า เจ้าที่เป็นตายายชาวนาเจ้าของที่เดิมตายไปแล้วมารักษาดูแลที่ดิน  อ.เจนจึงนำอุทิศบุญให้เจ้าที่แห่งนี้ และกลับ ค่ะ ที่แห่งนี้ไม่เหมาะสมเพราะว่า น้ำจะท่วมตลอดน้ำจากภูเขาไหลลงมาเป็นประจำทั้ง ๆ ที่เป็นที่ราบสูงค่ะ อ.เจน เห็นอย่างนั้น ดังนั้นจึงลงมติไปที่ดินที่ 4  เพราะเป็นภพภูมิฤาษี ต้องดีแน่ แต่ระหว่างที่จะขับ ไปยังสถานที่แห่งนี้ปรากฏว่า อ.เจน เห็นในสมาธิ มียมทูต 3 ตน นุ่งโจงกระเบน สีแดงมีสร้อยสังวาล 1 ตน อีก 2 ตน ไม่มีสร้อยสังวาล   จึงคิดไปว่า  ท่านจะมารับหนูหรือค่ะ แต่ก็ได้พูดกับท่านไปว่าหนูยังต้องหาที่ดินเพื่อสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม  แต่ก็ได้อุทิศบุญให้กับท่านยมทูตทั้ง3 แล้วท่านก็หายไป แต่เมื่อมาคิดไตร่ตรองอีกครั้ง  จึงคิดว่าคนที่ทำบุญมากต้องมีพาหนะหรือหงส์ มารอรับถึงจะถูก คงไม่ใช่เราแน่   ต้องเป็นใครสักคนในรถคันนี้ (6 คน) แต่ก็ไม่กล้าบอกใครเมื่อเข้าห้องน้ำที่ปั๊มน้ำมัน  จึงมากระซิบบอกกับดิฉันตามที่ อ.เจน ได้เห็นอะไรในสมาธิเมื่อไปถึงสถานที่แห่งที่ 4   เราก็ปีนป่ายกันขึ้นไปบนเขาลูกเล็กบนนั้นมีทั้งหนามและใบหญ้าแห้ง ๆ  ที่เกี่ยวตามเสื้อและลำตัว แขนและขาเป็นแผลไปตามๆ กัน คุณสุดารัตน์  โดนหนามเกี่ยวแขนจนเลือดออก คุณเต้ยโดนหนามเกี่ยวหน้าคุณภุชงค์  โดนหนามเกี่ยวแขนเหมือนกันแต่ขี้โม้ว่า ตัวเองหนังเหนียว  ส่วนดิฉันกางเกงขาดเลยค่ะ สรุปได้ว่า ที่ดินทั้ง 11 แห่ง ใช่ 1 ที่ ก็บันทึกไว้ค่ะ สำหรับที่ดินที่ 4  ที่คิดว่าใช่เป็นดินแดนฤาษีนั้น เมื่อสำรวจโดยละเอียด อ.เจน ดูด้วยตาทิพย์ว่า  ที่มุมโค้งถนนแห่งนี้ในอนาคตจะเป็นโค้ง 100 ศพ เราก็ไม่ซื้อค่ะ 
  
 
 วันรุ่งขึ้นคุณเต้ยก็มาเล่าให้ฟังว่า ได้นั่งสมาธิเห็นพระยามัจจุราชไม่ใส่เสื้อ  ใส่สร้อยสังวาลนั่งอยู่บนแท่นบัลลังก์ก็ตกใจมาก  ชั่วแว๊บเดียวแต่จำติดตาตกใจ จนต้องออกมาจากสมาธิจึงมาเล่าให้ฟังพวกเราก็คิดสงสารคุณเต้ยทำไงกันดี  แต่ อ.เจน บอกว่าให้อยู่กับปัจจุบันอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อ.เจน  มองไม่เห็นว่าจะเกิดอะไรกับคุณเต้ยบ้าง เพราะกรรมบางอย่างเขาบังไม่ให้เห็นค่ะ ถัดจากวันนั้นมาอีกวันคุณภุชงค์โทรศัพท์มาหาดิฉัน ประมาณ 5 โมงเช้าด้วย ความเป็นห่วงคุณเต้ย จึงคุยเรื่องนี้กันอีกครั้ง แต่ระหว่างที่คุยกันปรากฏมีเสียง  เหมือนเครื่องโทรศัพท์ผิดปกติ เสียงดังก้องมาก เสียงดัง คร๊อก ๆๆๆ แคร็กๆๆๆ  ประมาณ 30 วินาที  ดิฉันก็ตกใจกับเสียงนี้เพราะดิฉันเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน  มันเป็นเสียงที่เราอยู่ใกล้กับวิญญาณแต่ไม่ได้บอกคุณภุชงค์  ส่วนคุณภุชงค์  ก็ตกใจกับเสียงที่ได้ยินอยู่เหมือนกัน  จึงปิดเสียงโทรศัพท์และโทรมาใหม่ โดยบอกว่าตกใจมาก เพราะว่าเมื่อ 2 วันก่อนก็มีเสียงอย่างนี้เหมือนกันตอน ที่คุยกับเพื่อน ๆ ที่ทำงาน ถึงกับต้องจนลุกมากและกลัวมากว่าแล้วเราต้องปรึกษาอาจารย์ เราทั้ง5 คน ยกเว้นอาจารย์เจน ก็มาจุดธูปคนละ 1 ดอก เพื่อทำพิธีบอกกล่าว ต่อท่านพระยามัจจุราชและบริวารว่าพวกเราทั้งหลายไม่ได้กลัวความตาย แต่ต้องการมีชีวิตอยู่เพื่อช่วยเหลือ อ.เจนเพื่อช่วยกันขับเคลื่อนพระพุทธศาสนา  ขออย่าเพิ่งนำชีวิตของพวกเราไม่ว่าจะเป็นคนหนึ่งคนใดไปเลยค่ะพูดประมาณนี้  จำไม่ได้แล้วค่ะ 
 จบเรื่องเล่าแล้วค่ะ บาย แล้วพบกันใหม่นะค่ะ |